ทีมชาติ : ทีมชาติบราซิล
ฟุตบอลทีมชาติบราซิล(Brazil national
football team ,in Portuguese: Seleção
Brasileira) มีชื่อเล่นว่า A Seleção (The Selection)
หรือผู้ที่ถูกเลือก
ก่อตั้งโดย สมาพันธ์ฟุตบอลบราซิล (CBF) เป็นหนึ่งในสมาชิกของ
สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ตั้งแต่ปี 1923 และเป็นสมาชิก
สมาพันธ์ฟุตบอลอเมริกาใต้ (CONMEBOL) ตั้งแต่ปี 1916 บราซิลเป็นทีมชาติฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในฟุตบอลโลก
โดยได้แชมป์ทั้งสิ้น 5 ครั้ง นำหน้าอิตาลีที่เป็นที่สอง และบราซิลยังเป็นชาติที่ได้แชมป์
FIFA Confederations Cup มากที่สุดเป็นจำนวน 3 ครั้ง
บราซิลเป็นผู้ที่ครอบครองถ้วย FIFA
Confederations Cup ในปัจจุบัน หลังจากที่ชนะในปี 2005 และ 2009
และเป็นชาติเดียวที่ได้ลงเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายทุกปี
ทีมชาติบราซิลเป็นชาติเดียวที่ได้แชมป์ฟุตบอลโลกในการแข่งขันสี่ทวีปโดยขาดเพียงแอฟริกา
หนึ่งครั้งในยุโรป(สวีเดน ปี1958) หนึ่งครั้งในอเมริกาใต้(ชิลี ปี1962)
สองครั้งในอเมริกาเหนือ(เม็กซิโก ปี1970 และ สหรัฐอเมริกา ปี1994) และ
หนึ่งครั้งในเอเชีย(เกาหลีใต้และญี่ปุ่น ปี2002)
บราซิลถูกเลือกให้เป็นเจ้าภาพการแข่งขัน FIFA
Confederations Cup ปี2013 และฟุตบอลโลก ปี2014
ทำให้บราซิลผ่านการคัดเลือกให้ไปเล่นรอบสุดท้ายโดยอัตโนมัติ
ปัจจุบัน ทีมชาติบราซิลมีเฮดโค้ชคือ Luiz
Felipe Scolari
ยุคเริ่มต้น (1914-1957)
เป็นที่เชื่อกันว่า
เกมแรกของทีมชาติบราซิลเกิดขึ้นในปี 1914 ซึ่งเป็นการพบกันโดยใช้ผู้เล่นในทีม Rio
de Janeiro และ São Paulo ร่วมกันพบกับทีม Exeter City สโมสรจากอังกฤษ
จัดการแข่งขันขึ้นที่สนามของทีมFluminenseบราซิลเป็นฝ่ายชนะไปด้วยผลประตู 2–0 จากการทำประตูของ
Oswaldo Gomes และ Osman ในการจัดการแข่งขันอีกครั้งในปี2004 เสมอกันที่ 3-3
ก่อนที่จะเป็นอนาคตอันรุ่งโรจน์
ทีมชาติบราซิล ในช่วงเริ่มต้นนั้นบราซิลห่างไกลจากคำว่าชาญฉลาด
ส่วนหนึ่งมาจากความขัดแย้งในสมาพันธ์ฟุตบอลบราซิลและความเป็นมืออาชีพ
แสดงให้เห็นว่าสมาพันธ์ฟุตบอลบราซิลไม่สามารถจัดผู้เล่นที่แข็งแกร่งทั้งทีมได้
สำหรับการแข่งขัน FIFA World Cup หรือ
ฟุตบอลโลก ในปี 1954 ที่สวิตเซอร์แลนด์ ทีมชาติบราซิลแทบจะยกเครื่องกำลังพลเกือบทั้งหมด
แม้จะแพ้ที่ Maracanã แต่ก็มีกลุ่มผู้เล่นชั้นดี
รวมถึง Nílton Santos, Djalma Santos และ Didi บราซิลไม่ได้เข้ารอบลึก หลังจากจบรอบแบ่งกลุ่ม
บราซิลได้มาพบกับฮังการี ในรอบก่อนรองชนะเลิศ เนื่องจากในสมัยนั้น
ทีมที่เล่นในรอบสุดท้ายมีเพียง16ทีม
ซึ่งเกมในวันนั้นถือเป็นเกมที่น่าเกลียดเกมหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอล
โดยถูกขนานนามว่า Battle of Berne และตกรอบไปด้วยผลประตู 2-4
ยุคทองและเปเล่(1958-1970)
บราซิลจ้าง Vicente danny Feola เพื่อกำหนดกฏของผู้เล่นในฟุตบอลโลกปี1958
ที่สวีเดน
ผู้เล่นแต่ละคนจะได้รับใบรายชื่อ40อย่างที่ห้ามทำ รวมถึง สวมใส่หมวก ร่ม
หรือสูบบุหรี่ในขณะสวมใส่ชุดแข่งอย่างเป็นทางการและในช่วงเวลาที่ให้สัมภาษณ์ออกสื่อ
และเป็นทีมเดียวในช่วงนั้นที่นำนักจิตวิทยามาที่ค่ายฝึกของทีม(เนื่องจากความทรงจำในปี
1950 ที่ได้รองแชมป์ทั้งที่เป็นเจ้าภาพยังมีผลต่อสภาพจิตใจของผู้เล่นบางคน)หรือแม้กระทั่ง
ทันตแพทย์ (เนื่องจากฐานะทางบ้านเกิดของแต่ละคน
ทำให้มีผู้เล่นหลายคนมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน ซึ่งทำให้ติดเชื้อและส่งผลกระทบต่อศักยภาพ)
และส่งคนไปที่ยุโรป เพื่อดูการคัดเลือกของทวีปยุโรป ก่อนเกมการแข่งจะเรื่ม
พวกเขาได้ถูกจับสลากให้อยู่ในกลุ่มที่ยากที่สุด
ร่วมกับ อังกฤษ สหภาพโซเวีต และ ออสเตรีย พวกเขาเอาชนะออสเตรียในการแข่งนัดแรก 3-0
เสมอกับอังกฤษ
0-0 ชาวบราซิลต่างก็เป็นกังวลกับการแข่งนัดต่อไปกับสหภาพโซเวีต เพราะว่าสหภาพโซเวียตนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะได้แชมป์
และหากบราซิลแพ้ในนัดนี้ และอังกฤษชนะ จะทำให้พวกเขาตกรอบ
(เนื่องจากสมัยนั้นทีมชนะได้2แต้ม) ก่อนเกมการแข่งจะเริ่ม ผู้นำในทีม Bellini,
Nílton Santos และ Didi พูดกับ Vicente Feola ว่า ให้เปลี่ยนผู้เล่นที่จะลงสนามสามคน
ที่จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ชนะสหภาพโซเวียตและได้แชมป์ฟุตบอลโลก คือ Zito,
Garrincha และ Pelé หลังจากเขี่ยลูก
พวกเขาส่งบอลไปที่ Garrincha ผู้ที่เลี้ยงหลบเอาชนะผู้เล่นสามคนก่อนที่จะยิงชนเสาใกล้
พวกเขากดดันสหภาพโซเวียตอย่างไม่ลดละ ผ่านไปสามนาที Vavá ทำประตูให้บราซิลขึ้นนำ ในภายหลัง
ได้มีการขนานนามสามนาทีนั้นว่า สามนาทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล
จบเกมด้วยบราซิลเป็นฝ่ายชนะไปด้วย 2-0 เกมต่อมาพวกเขาพบกับเวลส์ และชนะด้วยประตูโทนของ Pelé รอบรองชนะเลิศ
พวกเขาพบกับฝรั่งเศส ที่มี Just Fontaine ที่ทำประตูก่อนหน้านี้มาถึง 8 ประตูใน 4 นัด
แต่พวกเขาก็เอาชนะฝรั่งเศสไปได้ด้วยประตู 5-2 ในนัดนี้ Pelé ทำแฮตทริคได้
(ภายหลัง Just Fontaine เป็นผู้ทำประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายครั้งเดียวมากที่สุดที่ 13 ประตู) และ
ในนัดชิงชนะเลิศ บราซิลเอาชนะสวีเดนและได้แชมป์โลกไปครองเป็นสมัยแรก
และเป็นชาติแรกที่ได้แชมป์ฟุตบอลโลกที่สถานที่จัดการแข่งไม่ได้อยู่ในทวีปเดียวกับประเทศที่ได้
ข้อเท็จจริงของการฉลองนี้เกิดพิสูจน์ได้จากการที่ Feola ที่บางครั้งงีบระหว่างช่วงซ้อม
และปิดตาในบางช่วงของการแข่ง ทำให้รู้ว่าเขาพักผ่อนไม่พอ Didi บอกว่าบางครั้งเขาดูเหมือนเป็นโค้ชทีมนี้จริงๆตอนที่เขาให้คำแนะนำแก่กองกลาง
ในปี 1962 บราซิลได้แชมป์ฟุตบอลโลกอีกครั้ง
โดยมีดาวดังคือ Garrincha โดยที่ Pelé
เจ็บในนัดที่สองของทัวนาเมนต์ทำให้พลาดการแข่งนัดที่เหลือ
ปี 1966 การเตรียมทีมของทีมชาติบราซิลถูกผลกระทบด้วยอิทธิพลทางการเมือง
ทุกสโมสรใหญ่ต่างก็ต้องการให้นักเตะของสโมสรของตนเป็นหนึ่งในผู้เล่นทีมชาติ
เพื่อให้ได้รับการเปิดเผยว่าทีมของตนมีผู้เล่นทีมชาติ ในเดือนสุดท้ายของการเตรียมตัว
โค้ช Vicente Feola ต้องทำงานกับผู้เล่น 46 คน แต่จะมีเพียง 22 คน
ที่จะได้ไปที่อังกฤษ ทำให้เกิดปัญหาภายในและเกิดการกดดันทางจิตกับผู้เล่นและทีมงาน
ผลงานของทีมชาติบราซิลในปีนี้ถือว่าแย่ที่สุด อีกเหตุผลหนึ่งคือ Pelé ผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดของชีวิตค้าแข้งในตอนนั้นถูกการเข้าสกัดอย่างรุนแรงในนัดแรกจนไม่สามารถเล่นต่อไปได้
แต่ว่า Pelé ก็เป็นผู้เล่นคนแรกที่ทำประตูในฟุตบอลโลกสามรอบ
จากประตูแรกที่เขายิงด้วยการยิงฟรีคิกโดยตรง ก่อนถูกสกัดโดยผู้เล่นของบัลแกเรีย
ในนัดต่อมากับฮังการี่ เขาถูกพักเพื่อป้องกันการเหนื่อยล้า และบราซิลแพ้ 1-3
หลังจากกลับมาเล่นในนัดต่อไปกับโปรตุเกส
มีการเข้าสกัดอย่างรุนแรงจากกองหลังโปรตุเกสหลายครั้ง ทำให้ Pelé
ต้องออกจากการแข่งและแพ้ไปในที่สุด และบราซิลต้องจอดแค่รอบแบ่งกลุ่มเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี
1934 หลังจากนั้น Pelé
บอกว่าเขาไม่ได้ต้องการลงเล่นฟุตบอลโลกอีกแล้ว
ปี 1970 Pelé
ถูกเรียกให้ติดทีมชาติอีกครั้ง ในตอนแรกเขาปฏิเสธ แต่ภายหลังก็ต้องตอบรับในที่สุด
ในปีนี้ บราซิลได้บอกว่ามีชุดผู้เล่นที่ดีที่สุด และเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของ Peléโดยได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นจากปี
1966 หลายคน ผู้เล่นอย่าง Garrincha, Nilton Santos, Valdir
Pereira, Djalma Santos และ Gilmar ไม่อยู่ในทีมชุดนี้เนื่องจากแขวนสตั๊ด แต่ก็มี Pelé,
Rivelino, Jairzinho, Gérson, Carlos Alberto Torres, Tostão และ
Clodoaldo ซึ่งมีชื่ออยู่ในชุดผู้เล่นยอดเยี่ยมหลายคน
ผู้เล่นห้าคนแรกอย่าง Jairzinho, Pelé, Gérson, Tostão และ
Rivelino ต่างก็เป็นผู้เล่นเบอร์ 10 ของแต่ละสโมสร ซึ่งเมื่อพวกเขาลงเล่นก็ก่อให้เกิดความแตกต่างด้านการบุก
โดยมี Pelé อยู่ตรงกลาง มีส่วนร่วมกับ 14 ประตู จาก 19
ประตูในทัวนาเมนต์
ในนัดชิงชนะเลิศ ทีมชาติบราซิลต้องมาพบกับอิตาลี
ซึ่งทั้งคู่ต่างเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกชาติละสองสมัยเท่ากัน
ถ้าชาติใดชนะรายการฟุตบอลโลกครั้งนี้ก็จะเป็นชาติแรกที่ได้รับแชมป์สมัยที่สามเป็นชาติแรก
และ เป็นบราซิลที่เอาชนะไปด้วยประตู 4-1 ทำให้เป็นชาติแรกที่ได้แชมป์ฟุตบอลโลกสามสมัย
The dry spell (1970–1994)
หลังจากการประกาศเลิกเล่นทีมชาติของ
Pelé ทำให้บราซิลไม่สามารถต้านทาน เนเธอร์แลนด์ได้ และแพ้ไป
ทำให้ได้ไปชิงอันดับสาม พบกับโปแลนด์และแพ้ไป ได้อันดับสี่
ปี 1978 ในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มรอบที่สอง
ก่อนการแข่งขันนัดสุดท้าย บราซิลเป็นทีมนำในกลุ่ม
และมีลุ้นที่จะไปชิงชนะเลิศมากที่สุด
โดยนำอาร์เจนตินาที่เป็นอันดับสองที่แต้มเท่ากัน แต่มีประตูได้เสีย +5 อาร์เจนตินามีประตูได้เสีย
+2 และในนัดสุดท้ายนั้นเอง ในขณะที่บราซิลเอาชนะโปแลนด์ 3-1 แต่
อาร์เจนตินากลับเอาชนะเปรู 6-0 ทำให้อาร์เจนตินาเข้าชิง แล้วบราซิลก็แพ้ให้แก่อิตาลี
1-2 ทำให้ได้อันดับที่สี่อีกครั้ง
ปี 1982 บราซิลจะผ่านเข้ารอบง่ายๆด้วยการเสมอในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มรอบสอง
แต่พวกเขากลับแพ้ให้แก่อิตาลี ด้วยประตู 2-3 จากการทำแฮตทริคของ
Paolo Rossi และในปีนั้นเขาก็พาอิตาลีเป็นแชมป์ หลังจากเกมดังกล่าว
สื่อของประเทศบราซิลก็โจมตี Telê Santana ผู้เป็นโค้ช สำหรับการใช้แผนบุก
ทั้งๆที่สกอร์ที่เสมอกัน 2-2 ก็เพียงพอต่อการเข้ารอบต่อไปแล้ว
ทั้งที่ตอนนั้นมีผู้เล่นชั้นยอดหลายคนอย่าง Sócrates, Zico, Falcão และ
Éder
โดยพวกเขาถูกเรียกว่าผู้เล่นชั้นยอดที่ไม่ได้รับถ้วยฟุตบอลโลก
ในฟุตบอลโลกครั้งถัดมาปี 1986 นักเตะกลับมาเล่นอีกครั้ง
พร้อมกับโค้ชคนเดิม Telê Santana ในครั้งนี้ผู้เล่นในทีมต่างมีอายุมากขึ้น
แต่ยังอยู่ในช่วงที่ยังมีศักยภาพ โดยผู้เล่นสำคัญอย่าง Zico
ได้รับบาดเจ็บก่อนทัวนาเมนตเริ่ม เมื่อบราซิลพบกับฝรั่งเศสในรอบก่อนรองชนะเลิศ
เกมดังกล่าวถูกขนานนามว่า “total football” โดยเฉพาะช่วงที่เสมอกันอยู่ที่
1-1 Zico ได้ถูกส่งลงมาในครึ่งหลัง และ บราซิลได้รับจุดโทษในช่วงท้ายเกม โดยมีZico
เป็นผู้รับหน้าที่สังหาร
วินาทีนั้นชาวบราซิลต่างตั้งความหวังต่อฮีโรของเขา เพราะ Zico เป็นผู้เล่นที่คนในยุคนั้นชื่นชอบที่สุด
แต่ว่า เขาพลาด หลังจากนั้นเป็นการยิงจุดโทษชี้ขาด แต่ทว่า Zico พลาดอีกครั้ง
และเป็นฝ่ายตกรอบไป
ในฟุตบอลโลกครั้งต่อมาในปี1990 โค้ชของบราซิลคือ Sebastião Lazaroni ผู้ที่ไม่เป็นที่รู้จักเท่าไรก่อนที่ฟุตบอลโลกจะเริ่ม
มีการทำทีมด้วยแผนการตั้งรับและมีสัญลักษณ์หลักคือกองกลางชื่อ Dunga และสามฟูลแบ็ค
ทีมชุดนี้มีการสร้างสรรค์ที่น้อยลง แต่ก็ผ่านมาถึงรอบสองได้ และพบกับอาร์เจนตินา
บราซิลมีกดดันอย่างหนักและมีโอกาสหลายต่อหลายครั้ง แต่ว่ากลับตกรอบด้วยประตูโทนของ
Claudio Caniggia จากการแอสซิสอย่างชาญฉลาดของ Maradona
More to Come(1994-2002)
บราซิลสร้างความประหลาดใจเมื่อคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่สี่ของพวกเขา
หลังจากไม่ได้แชมป์มา 24 ปี บราซิลจบทัวนาเมนต์ด้วยการเสียประตูที่น้อยมาก เพียงสามลูกเท่านั้น
โดยมีผู้เล่นที่สะดุดตาคือ of Romário, Bebeto, Dunga, Taffarel และ
Jorginho โดยเอาชนะเจ้าภาพในรอบ 16 ทีม 1-0 เอาชนะเนเธอร์แนด์ 3-2 ในรอบถัดมา
และ ชนะสวีเดน 1-0 ในรอบรอง และพบกับ อิตาลีอีกครั้ง ทั้งคู่เสมอกันในรอบต่อเวลาที่ 0-0
ทั้งคู่จะต้องตัดสินที่การยิงจุดโทษชี้ขาด
หลังจากพลาดฝั่งละลูกในการยิงครั้งแรก ในการยิงคนที่สี่ อิตาลี ยิงพลาด
แต่บราซิลยิงเข้า
และผู้ที่ยิงคนที่ห้าของอิตาลีเป็นผู้เล่นที่เป็นมือหนึ่งในการยิงจุดโทษของอิตาลี Roberto
Baggio แต่ว่าเขากลับยิงข้ามคานไป และทำให้อิตาลีพ่ายแพ้และบราซิลคว้าแชมป์
ก่อนเริ่มฟุตบอลโลกในปี 1998 ที่ฝรั่งเศส
บราซิลได้ลงแข่งในนัดกระชับมิตรกับ เนเธอร์แลนด์
และพวกเขาก็พบเนเธอร์แลนด์อีกครั้งในรอบรองชนะเลิศ
และเอาชนะด้วยการดวลจุดโทษหลังจากเสมอกันในเกมที่สกอร์ 1-1 และพวกเขาเข้าชิงชนะเลิศอีกครั้งพบกับเจ้าภาพฝรั่งเศส
แต่พวกเขาก็แพ้ไป 0-3 จากการประกบไม่ดี ทำให้เสียประตูจากการโหม่งของ Zinédine
Zidane จากลูกเตะมุมถึงสองลูก
และอาจรวมถึงนักเตะสำคัญของพวกเขาอย่าง Ronaldo เป็นลมชักก่อนการแข่งขันจะเริ่มไม่กี่ชั่วโมงและลงแข่งด้วยสภาพไม่พร้อม
ฟุตบอลโลกกลับมาอีกครั้งในปี 2002 ครั้งนี้จัดขึ้นที่
เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น ถือว่าเป็นครั้งแรกที่จัดฟุตบอลโลกขึ้นที่เอเชีย
โดยบราซิลถูกแบ่งมาอยู่ในกลุ่มเดียวกับ ตุรกี จีน และ คอสตาริกา
ในนัดแรกที่พบกับตุรกีนั้นเอง ในช่วงท้ายเกม บราซิลได้ลูกเตะมุม
และต้องการเล่นถ่วงเวลา โดยมี Rivaldo หนึ่งในสามผู้เล่นที่เจิดจรัสของบราซิลที่ถูกเรียกว่า
สามR (Rivaldo, Ronaldo, Ronaldinho) โดย Rivaldo
ไม่อยากจะเดินไปเก็บลูกบอล Hakan Ünsal ผู้เล่นตุรกีได้เตะลูกบอลไปที่ขาของ Rivaldo
แต่
Rivaldo ลงไปนอนดิ้นทำเหมือนกับว่าโดนเตะบอลเข้าที่ใบหน้า
ผู้ตัดสินจึงควักใบเหลืองที่สอง ส่ง Hakan Ünsal ออกจากสนาม
หลังจากเหตุการณ์นี้ Rivaldo ถูกปรับเงินเป็นจำนวน 5,180 ปอนด์
และหลังจากนั้นพวกเขาก็เอาชนะอีกสองนัดที่เหลือและผ่านเข้ารอบไป รอบถัดมาเป็นรอบ 16
ทีม
พวกเขาเอาชนะเบลเยียม 2-0 เอาชนะอังกฤษด้วยประตู 2-1 จากประตูชัยของ
Ronaldinho ด้วยการยิงฟรีคิกระยะไกล รวมถึงประตูแรกที่เขาเป็นผู้แอสซิสให้Rivaldo แม้ว่าRonaldinhoจะถูกไล่ออกในอีกไม่กี่นาทีถัดมาหลังจากทำประตูก็ตาม
รอบรองชนะเลิศพวกเขาก็พบกับตุรกีอีกครั้ง ครั้งนี้พวกเขาเอาชนะด้วยประตูโทนของ Ronaldo
เป็นที่น่าเสียดายที่
Rivaldo ไม่ได้ทำประตูในนัดนี้หลังจากทำประตูติดต่อกันมาห้านัด
เขาเกือบจะทำตามสถิติของ Jairzinho ที่ทำประตูทุกนัดในทัวนาเมนต์เดียว
และในรอบชิงชนะเลิศ บราซิลโคจรมาพบกับเยอรมันนี
อีกหนึ่งทีมที่ทำผลงานได้ดีในการแข่งครั้งนี้ ทั้งสองทีมไม่เคยพบกันในถ้วยฟุตบอลโลกมาก่อน
และเป็นบราซิลเอาชนะไปด้วยประตู 2-0 จาก Ronaldo ถึงแม้ว่าเยอรมันนีจะมี
Oliver Kahn ที่ได้รับรางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมประจำทัวนาเมนต์
Parreira returns (2003-2006)
ฟุตบอลโลกครั้งต่อมาจัดขึ้นที่เยอรมันนีในปี 2006
ครั้งนี้บราซิล
มีโค้ชคือ Carlos Alberto Parreira ผู้ที่เคยพาบราซิลคว้าแชมป์เมื่อปี 1994 ครั้งนี้ Carlos
Alberto Perreira วางผู้เล่นแนวรุกไว้สี่คน คือ Ronaldo, Adriano, Kaká, และ
Ronaldinho ซึ่งแต่ละคนถือเป็นผู้เล่นแนวรุกระดับแนวหน้าทั้งสิ้น
แต่ในช่วงเตรียมทีม ผู้เล่นดาวเด่นอย่าง Ronaldo มีปัญหาเกิดขึ้น
โดยหลังจากรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บแล้ว ก็มีปัญหาเรื่องเท้าบวม
และเป็นไข้ระหว่างการฝึก แต่บราซิลก็ยังผ่านรอบแบ่งกลุ่มไปได้ด้วยดี โดยหลังจากชนะมาสองนัดรวด
ในนัดที่สาม Carlos Alberto Perreira ได้ทำการนำผู้เล่นสำรองมาเล่นห้าคน รวมถึง Robinho และ Cicinho
การเปลี่ยนทีมครั้งนี้สำเร็จ
บราซิลสามารถเอาชนะญี่ปุ่นอย่างสบายๆ 4-1 ในรอบต่อไปซึ่งเป็นรอบ 16 ทีม
บราซิลเอาชนะ กานา 3-0 แต่ถูกเขี่ยตกรอบในรอบก่อนรองชนะเลิศกับฝรั่งเศส ด้วยประตูโทนของ Thierry
Henry ในเกมดังกล่าว บราซิลยิงตรงกรอบแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
และยังเป็นการแพ้ฝรั่งเศสสามนัดรวดในฟุตบอลโลก(1986,1998.2006) หลังจบเกม มีการพูดถึงอย่างมากเกี่ยวกับประตูโทนที่เสีย
เพราะมีรูปที่ Roberto Carlos แบ็คซ้ายของทีม พยายามที่จะใส่รองเท้า
และไม่ได้ประกบ Henry ทำให้ไปสู่การเสียประตู โดยตำนานชาวบราซิล Pelé ได้ออกมา
กล่าวโทษ Perreira และ Ronaldinho ที่ถูกเขี่ยตกรอบเร็วเกินไป
Dunga Period(2006-2010)
บราซิลได้จ้าง Dunga กัปตันทีมที่พาบราซิลคว้าแชมป์ในปี
1994 ให้มาเป็นโค้ช เขาพาทีมได้แชมป์ Copa América ในปี 2007
และ
FIFA Confederation Cup ในปี 2009 และผ่านการคัดเลือกเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกอีกครั้ง
ฟุตบอลโลกในปี 2010 ที่แอฟริกาใต้
บราซิลถูกจับสลากให้มาอยู่ในกลุ่ม Group og Death ที่มี
เกาหลีเหนือ ไอวอรี่โคสต์ และ โปรตุเกส พวกเขาเอาชนะสองนัดแรก
และเสมอหนึ่งนัดกับโปรตุเกส พบกับ ชิลี เพื่อนร่วมทวีป พวกเขาเอาชนะไปด้วยสกอร์ 3-0
จากประตูของ
Luís Fabiano และ Robinho ในรอบต่อมารอบก่อนรองชนะเลิศ
พวกเขาพบกับเนเธอร์แลนด์ บราซิลทำประตูขึ้นนำก่อนจาก Robinho แต่กลับโดนสองประตูรวดจาก
Wesley Sneijder ส่งให้พวกเขาตกรอบ
Olympic
บราซิลไม่เคยได้แชมป์ ฟุตบอลโอลิมปิคสักครั้ง ถึงแม้ว่าจะได้เหรียญเงินถึงสามครั้งก็ตาม
(1984, 1988, 2012)
ผู้เล่นที่ลงสนามมากที่สุดคือ Cafu ผู้เล่นตำแหน่งแบ็คขวา
ลงสนามไปทั้งสิ้น 142 นัด ทำประตูไปทั้งสิ้น 5 ประตู
ผู้เล่นที่ทำประตูมากที่สุดคือ Pelé ทำประตูไป 77
ประตูจากการลงสนาม 90 นัด และยังเป็นผู้เล่นที่ได้รับการโหวตว่าเป็นผู้เล่นแห่งศตวรรษของบราซิลอีกด้วย
รายชื่อถ้วยรางวัลของบราซิล
Official titles
FIFA World Cup:
Winners (5): 1958, 1962, 1970, 1994, 2002
Runners-up (2): 1950, 1998
3rd place (2): 1938, 1978
4th place (1): 1974
Confederations Cup:
Winners (3): 1997, 2005, 2009
Runners-up (1): 1999
Copa América:
Winners (8): 1919, 1922, 1949, 1989, 1997, 1999, 2004, 2007
Runners-up (11): 1921, 1925, 1937, 1945, 1946, 1953, 1957,
1959, 1983, 1991, 1995
Panamerican Championship:
Winners (2): 1952, 1956
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น